165
กระแสลมได้เริ่มมารวมกันที่ร่างของซิกเรื่อยๆ พลังของเขาเองก็เริ่มเพิ่มพูนขึ้นเช่นเดียวกัน มันแตกต่างจากตอนของเซนะนิดหน่อยตรงที่พลังนี้ได้ออกมาจากภายในตัวของซิกส์เองโดยตรง
เรเพียร์ก็พอจะเดาได้แล้วว่าผลมันจะต้องออกมาเป็นเช่นนี้ เหล่าคนปริศนาเองก็เช่นกันพวกเขาได้จับจ้องวินาทีที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้อย่างจดจ่อ
สาวน้อยข้างๆชายหนุ่มจึงถามขึ้นมา
"นี่นายพอจะรู้ผลอยู่แล้วใช่ไหมกลียุค"
"ใช่ฉันรู้แต่ฉันก็คงไม่มีสิทธิจะเข้าไปยุ่งกับการแข่งรมถึงเธอด้วยทิวา"
"งั้นจะรอดูเขาถูกเล่นงานอย่างนั้นหรอ!?"
"ใช่! ฉันจะรอดู!"
"เฮ้ย!" เธอถึงกับอุทานใส่นายแว่นด้านข้างทันที
"นี่นายจะบ้าหรือไงนายลืมหน้าที่ของพวกเราไปแล้วหรอ!"
"แล้วเธอลืมไปแล้วหรือว่าเขาสั่งอะไรพวกเราไว้"
"อึ่กกก.!"
ทิวาได้หันกลับมานึกถึงคำสั่งสุดท้ายก่อนที่จะจากกับนายของตนไป
ทุกคนจงฟังต่อจากนี้หากไม่มีคำสั่งจากฉันห้ามทุกคนทำตามใจชอบโดยเด็ดขาดเพราะนี่อาจจะทำให้ความทรงจำอันแสนสนุกของผมต้องพังลงไปก็ได้... คำพูดนั้นของเขาได้พูดไปด้วยพลางยิ้มไปด้วย เขาเป็นชายที่เธอชื่นชมมากมายจนไม่อยากจะอยู่ห่างกายแต่เพราะเขาเปรียบได้กับนกที่บินไปทุกที่อย่างอิสระเธอจึงไม่สามารถวิ่งตามเขาไปทุกที่ได้
นั่นเป็นสิ่งที่ทุกคนในที่นั้นรู้กันดีที่สุด
ทิวาจึงได้มองกลับมายังบนลานประลองอีกครั้ง
"ฉันหวังว่าหัวหน้าของเราคงจะไม่ปล่อยให้เขาตายหรอกนะ"
"นั่นสิ.. ฉันก็หวังเอาไว้แบบนั้นอยู่เหมือนกัน"
( แค่นิดนึงน่ะนะ... )
กระแสลมที่มารวมตัวกันที่ซิกอยู่จุดเดียวได้สลายหายไปก่อนจะปรากฏร่างใหม่ของซิกขึ้นมา
อวตารคือพลังที่อยู่เหนือไปอีกขั้นของการรวมร่าง เดิมที duo กับ master ต้องมีทั้งสองอย่างนี้ถึงจะสามารถรวมร่างกันได้แต่อวตารนั้นไม่ต้องนั่นก็เพราะว่า master ได้กลืนกินพลังของ duo เข้าไปแล้ว
รูปร่างแบบนั้น...
หน้าตาแบบนั้น...
เราจำได้แล้ว~!!!
ในวันนั้น ณ วันแห่งจุดเริ่มต้นของเรากับมาโกโตะคุง
และก็เป็นช่วงเวลาที่เราได้เจอกับซิก...
หลังจากที่ถูกพัดมาติดฝั่งจากศึกของราชันย์เราก็ได้ลอยมาถึงที่ญี่ปุ่น ตัวเราที่ไร้ซึ่งความทรงจำเพราะเหตุการณ์ในช่วงของซิกฟรีดได้ลืมตาตื่นขึ้นมาแบบงงๆ
ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใครหรือต้องทำอะไร ชีวิตของเราในตอนนั้นไม่ต่างอะไรกับเมื่อห้าปีก่อนที่เราได้พบกับโซเฟียที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ แต่ถึงจะไม่รู้อะไรเลยทั้งสิ้นแต่หากอยู่แบบนั้นต่อไปก็คงจะไม่ได้การ ตัวเราจึงลุกขึ้นเดินเข้าป่าไปอย่างไร้จุดหมาย
ในช่วงเวลานั้นตัวเราหัวโล่งไปหมด
ไม่มีทั้งสถานที่ที่ต้องกลับไป ไม่มีทั้งครอบครัวที่ต้องไปหา ไม่มีเพื่อนๆที่เป็นที่พึ่งให้ ไม่มีอะไรเลยทั้งสิ้น
แล้วตัวเราจะมีชีวิตอยู่ไปทำไมกันล่ะ!?
คำถามนี้ได้วิ่งวนไปมาอยู่ในหัวแต่ก็ไม่สามารถหาคำตอบอะไรได้เลยสักอย่างแถมยังทำให้ใช้พลังงานความคิดไปโดยไม่ใช่เหตุ
จ๊อก จ๊อก~ เสียงท้องได้ดังลั่นขึ้นมาอย่างน่าอาย
มันดังสักจนสาวน้อยถึงกับลนลานกลัวว่าจะมีใครมาได้ยินถึงแม้ว่าตอนนี้อยากจะได้คนมาช่วยแท้ๆ
สภาพของเธอเองก็โทรมไปหมด ถึงแม้จะแต่งตัวเป็นผู้ชายอยู่ก็ตามแต่เธอในตอนนี้แทบจะมีสภาพไม่ต่างกับคนจนๆที่เร่ร่อนไปมา เสื้อมีสภาพขาดหลุดรุ่ยในส่วนของชายเสื้อกับส่วนของปลายของแขนเสื้อ ที่กางเกงเองก็ขาดหลุดรุ่ยจนสภาพไม่ต่างกับเสื้อเลยแม้แต่น้อย ผมเองก็ดูยุ่งๆไปหมด ร่างกายเองก็มีบาดแผลอยู่ตามตัวโดยยังรู้สึกเจ็บๆอยู่
จ๊อก จ๊อก~ เสียงท้องร้องของเธอได้ดังขึ้นมาอีกครั้งโดยครั้งนี้มันร้องนานกว่าปกติทำเอาเธอถึงกับหน้าแดงฉ่าไปหมด
"แง๊~ อย่าร้องจิเดี๋ยวก็มีคนมาได้ยินหรอก!"
เธอได้เอาหัวโขกกับลำต้นของไม้ไผ่หลายต่อหลายทีเพื่อระงับอารมณ์ทั้งหมด แต่ก็ไม่ได้ผลมันกลับทำให้ท้องร้องยิ่งกว่าเดิมเข้าไปอีกราวกับกำลังประชดเธออยู่เลย....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น